นกเขาชวา
นกเขาชวา หรือ นกเขาเล็ก หรือ นกเขาแขก (อังกฤษ: Zebra dove; ชื่อวิทยาศาสตร์: Geopelia striata-เป็นภาษาละติน แปลว่า "รอยไถ" หรือ"ลาย" มีความหมายว่า "นกเขาที่มีลาย") เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbridae)
มีรูปร่างเหมือนกับนกชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกันนี้ทั่วไป มีขนปกคลุมตัวสีน้ำตาลหัวสีเทา หรือมีสีที่หัวเป็นสีน้ำเงิน ด้านข้างคอมีแถบสีดำสลับกับแถบขาวเป็นลายตามขวาง ด้านหลังสีเข้มมีขีดขวางคล้ายกับลายของม้าลายในต่างประเทศ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ ด้านท้องสีจาง ใต้ลำตัวเป็นสีขาวมีขีดขวางเล็ก ขอบท้ายของขนหางสีขาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ไม่เกิน 8-9 นิ้ว
มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง, ป่าละเมาะ, ชายทุ่งและบริเวณที่ทำการเพาะปลูก ชอบอยู่กันเป็นคู่หรือลำพังเพียงตัวเดียว แต่ไม่ชอบหากินอยู่เป็นฝูงใหญ่ มักร้องบ่อย ๆ ในเวลาเช้าและเวลาเย็น มีถิ่นกระจายพันธุ์ในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย จนถึงมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
นกตัวผู้จะมีลักษณะทั่วไปใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย หัวใหญ่ค่อนข้างยาว มีสีขาวที่หน้าผากสีขาวมากยาวถึงกลางหัว ขณะที่ตัวเมียหัวกลมเล็กและสีขาวที่ส่วนหัวจะไม่ยาวเท่า และมีรายละเอียดต่างกันเล็กน้อย เช่น หางที่ตัวเมียจะยกแอ่นกว่าตัวผู้ และเกล็ดที่ข้อเท้าจะละเอียดเล็กกว่าตัวผู้
นกเขาชวา เป็นนกที่ไม่เกรงกลัวมนุษย์ ซ้ำยังมีเสียงร้องที่ไพเราะ จึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับฟังเสียง จนกลายเป็นวัฒนธรรมในคาบสมุทรมลายู โดยเชื่อว่ามีมาจากเกาะชวา มีการจัดแข่งขันประกวด การเพาะขยายพันธุ์ ก่อตั้งเป็นชมรมหรือสมาคมต่าง ๆ ซึ่งในตัวที่มีเสียงร้องไพเราะอาจมีราคาสูงถึงหลักล้านบาท ตลอดจนแตกแขนงกลายเป็นอาชีพอื่น ๆ ต่อด้วย เช่น ประดิษฐ์กรงนกขาย
ลักษณะนกเขาที่เลี้ยงในบ้าน

ที่นิยมเลี้ยงกันมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ นกเขาใหญ่กับนกเขาชวา ลักษณะของนกเขาทั้งสองนี้มีดังต่อไปนี้
นกเขาใหญ่





















นกเขาชวา










อาหารที่ใช้เลี้ยงนกเขาชวา
ได้แก่ ข้าวเปลือกเมล็ดสั้น ไม่นิยมเลี้ยงนกเขาด้วยข้าวเปลือกเมล็ดยาวแบบข้าวเปลือกที่ใช้เลี้ยงไก่ ทั้งนี้เพราะถ้าเมล็ดยาวอาจจะทำให้ข้าวเปลือกติดคอ เพราะนกเขาคอเล็กกว่าไก่อาจทำให้นกเขาชวาตายได้ แต่ทั้งนี้ก่อนจะให้เป็นอาหารของนกเขาชวา จะต้องเอาข้างเปลือกเมล็ดสั้นนั้นมาล้างน้ำ เพื่อให้ฝุ่นละอองที่ติดตามเมล็ข้าวเปลือกออกให้หมดก่อนแล้วจึงนำตากแดดให้แห้งสนิท
ข้างฟ่าง ข้าวฟ่างใช้เลี้ยงนกเขาชวามี ๓ สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีดำดอกสมุทรโคดม เป็นข้าวที่มีลักษณะเป็นเมล็ดกลมขนาดเมล็ดถั่วเขียว ดอกหญ้าปากควาย ปกตินกเขาชวาชอบกินดอกหญ้าปากควายมาก แต่ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะจะทำให้นกผอมและเสียงแห้งเมล็ดผักเสี้ยน ช่วยเป็นยาระบายอ่อน ๆ ของนกเขาชวา
ลูกเซ่ง เป็นหญ้าชนิดหนึ่งขึ้นปะปนกับต้นข้าวในนา
งาดำ งาดำเปลือกเป็นยา ดีกว่างาขาว ถั่วเขียว ก่อนให้เป็นอาหารนกเขาขวา ควรตำเล็กน้อย พอให้เปลือกแตก แต่อย่าให้ละเอียดนัก ถั่วเขียวจำเป็นต้องให้แก่นกที่กำลังผสมพันธุ์อย่างมาก เพื่อช่วยบำรุงร่างกาย ทรายและเปลือกหอยป่น ช่วยบำรุงกระดูกของนกเขาชวา และช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะเปลือกหอยป่น มีแคลเซียม และช่วยบำรุงกำลังให้นก ส่วนทรายทะเลช่วยให้ระบบย่อยอาหารของนกดีขึ้น ดินลูกรัง นกเขาชวาชอบกินดินลูกรังที่ได้จากภูเขา ดินลูกรังให้ธาตุเหล็กแก่นก
ดินดำ เป็นดินปลวกดำ นกชอบน้ำสะอาด ต้องมีไว้อย่าให้ขาด ข้าวไร่ นกเขาชอบกินแต่ไม่ควรให้บ่อย เพราะจะทำให้นกน้ำหนักเบา และขันเสียงตกอาหารทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด ยกเว้นข้าวเปลือก น้ำสะอาด และทราย ก่อนจะให้เป็นอาหารนก จะต้องนำมาคลุกเคล้าผสมกัน ซึ่งในปัจจุบันอาจไม่มีครบทุกอย่าง แต่ก็มีผู้ผสมอาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงนกเขาชวาโดยเฉพาะ ซึ่งจะหาซื้อได้ทั่วไป หรือจะซื้อแต่ละชนิดมาผสมเองก็ได้
การเลี้ยงนกเขาชวา
ลูกนกที่ออกจากไข่นานประมาณ ๑/๒ - ๑ วัน จะเริ่มหัดบิน ครั้นเวลาล่วงมานานประมาณ ๒๐ - ๒๕ วัน แม่นกจะเริ่มออกไข่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในระยะนี้พ่อนกจะไล่จิกตีลูกนก โดยปกติประมาณ ๒๐ วัน หลังจากที่ลูกนกออกจากไข่ควรจะแยกเอาลูกนกไปใส่กรงเล็กทันที เป็นการป้องกันพ่อนกที่จะจิกตีลูกนกจนตาย ในระยะแรกที่ลูกนกต้องจากอกพ่อนกแม่นก ลูกนกอาจกินอาหารเองไม่เป็น เจ้าของจะต้องเอาถั่วเขียวบดพอแหลกป้อนให้กิน จนกว่าลูกนกกินอาหารเองได้เอง จึงค่อยนำลูกนกไปปล่อยในกรงใหญ่ เพื่อให้ลูกนกหัดบินออกกำลังประมาณ ๓– ๖ เดือน แล้วจึงค่อนนำมาเลี้ยงในกรงเล็กใหม่ แต่ถ้านกเขาเพศเมียยังไม่ออกไข่ใหม่ เจ้าของก็อาจไม่ต้องแยกลูกนก จากพ่อแม่ก่อนก็ได้ เพียงแต่เจ้าของนก ต้องค่อยหมั่นเติมอาหารจำพวกเมล็ดดอกหญ้าเล็ก ๆ ข้างฟ่างและถั่วเขียวบดในถ้วยอาหารที่อยู่ในกรงเสมอ ๆ อย่าให้ขาด ในช่วงนี้พ่อนกจะเป็นผู้คอยป้อนอาหารให้ลูกนกเอง
การเลี้ยงนก เขาไว้ในบ้านเพื่อประดับบ้าน หรือเลี้ยงไว้ฟังเสียงเพื่อความสุขใจ หรือจะเลี้ยงเพื่อเป็นการค้า หรือจะเลี้ยงเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ควรจะเลี้ยงมากกว่า ๑ ตัวเสมอ เพราะนกเขาจะได้มีความสุขไม่หงอยเหงา อย่างน้อยที่สุดควรเลี้ยง ๑ คู่ และควรเป็นคู่ต่างเพศจะได้เป็นเพื่อนคู่ขัน ประชันกันแก้เหงา โดยจะเลี้ยงไว้กรงละตัว หรือ ๒ ตัว รวมกันไว้ในกรงค่อนข้างใหญ่ก็ได้นักเล่นนกทางภาคใต้นิยมเลี้ยงนกเขาชวาแบบฝึกตลอดเวลา พยายามที่จะนำไปโยงตากแดดตอนเช้าก่อนไปทำงาน เพื่อให้นกเขาได้ขันออกเสียงเต็มที่ เหมือนนกที่อยู่ในป่า ยิ่งถ้าเป็นชาวบ้านก็แทบจะหิ้วกรงนกเขาติดตัวตลอดเวลา เวลาไปกรีดยางหรือทำสวนจะเอาไว้กับต้นไม้ใกล้ตัว ทำงานไปฟังเสียงนกเขาขันไปด้วย แม้แต่เวลพักผ่อนจะเข้าร้านน้ำชากาแฟก็ยังหิ้วกรงนกเขาเข้าไปในร้านด้วย วิธีการเช่นนี้ช่วยให้นกเขาเชื่อง ไม่ตื่นกลัวคน ไม่ตกใจง่าย เวลาอยู่ในบ้านก็คอยดีดนิ้วร้องเรียกให้นกเขาขันคูช่วยให้นกเขาคุ้นกับคน
การแขวนกรงนกเขาให้ถูกที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ใดแขวนแล้วนกไม่ชอบ นกเขาจะดิ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลัวอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้ สถานที่แขวนกรงนกจะต้องอยู่ห่างจากศัตรูของนกเขา เช่น แมว หนู ตุ๊กแก แมลงสาบ ค้างคาวที่ชอบบินผ่านกรง แม้แต่สถานที่สีฉูดฉาดก็อาจทำให้นกเขาตื่นตกใจได้ ที่ใดแขวนแล้วนกเขาขันบ่อย ๆ ก็ควรจะแขวนไว้ที่นั่นประจำ เพราะจะทำให้ชินต่อสถานที่ นกเขาจะหมดกังวลกับสิ่งหวาดกลัว และถ้ามีสถานที่กว้างขวางพอก็ควรจะแขวนกรงนกเขา ให้มีระยะห่างกันพอสมควร ถ้าห่างกัน ขนาดนกเขามองไม่เห็นซึ่งกันและกันได้ยิ่งดี เพราะนกเขาจะได้ตะเบ็งเสียงดังเต็มที่ เป็นการขันโดยไม่ออมเสียง ทำให้คนฟังได้รู้เสียงขันที่แท้จริงของนกเขานั้น
สถานที่ที่ดีที่สุด คือ ชายคาบ้านหรือสถานที่ใกล้หน้าต่าง เพราะนกเขาจะได้มองเห็นท้องฟ้า เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติ และตัวอาคารของบ้านด้วย ช่วยให้นกเขาเกิดความเคยชินกับบ้าน
ภาคผนวก